การพยายามบอกกับแม่ว่าผมไม่ได้นับถือศาสนาแล้วครั้งที่ 1.2

เกริ่นก่อนว่า ผมโตมาในครอบครัวไทยพุทธที่ผสมจีนหน่อยๆ ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่ตอนไหนที่ผมเริ่มไม่อินกับศาสนา อาจเพราะผมเกลียดพวกพิธีกรรมต่างๆมาตั้งแต่เด็กๆเลยก็เป็นได้ ย้อนไปในวัยประถมผมก็ยังเข้าวัดทำบุญอยู่ เอาจริงๆก็เพราะแม่เป็นคนลากผมไป แต่เมื่อโตขึ้นมาก็เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง และตระหนักได้ว่าศาสนามันไม่ได้ตอบโจทย์ของตัวเราเลย พอโตมาจนถึงช่วงวัยรุ่นผมเริ่มหลีกหนีจากงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับศาสนา แต่คนรอบข้างก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ เค้าก็คงคิดว่าเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ไม่ชอบอะไรแนวๆนี้แต่ใจยังศรัทธาอยู่ กลับมาที่แม่ของผมที่เป็นคนธรรมะธัมโม ด้วยความที่ผมเป็นลูกชายคนเดียว แม่ก็คาดหวังไว้ว่าวันนึงผมคงจะบวช นั้นคือเรื่องที่ผมคิดหนักมากว่าจะบอกกับแม่ยังไงดี ผมพยายามพูดเกริ่นหลายครั้ง แต่คงออกแนวทีเล่นทีจริงไปหน่อยแม่เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรนักกับคำพูดของผม จุดพีคมาถึงคือตอนที่บ้านผมต้องทำบุญร้าน ผมคือคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ได้ตื่นไปร่วมงาน ทุกคนก็คงคิดเหมือนเดิมว่าผมแค่ขี้เกียจเฉยๆ จนงานทำบุญร้านเสร็จสิ้นไป ตกตอนเย็นผมเดินไปหาแม่เพื่อจะคุยเรื่องนี้แบบจริงจังสักที แม่เปิดประเด็นก่อนเลยว่าทำไมไม่ตื่นออกมาทำบุญ ผมก็พูดไปตรงๆเลยว่า ‘แม่ผมไม่ได้นับถือศาสนาแล้วนะ’ แม่หน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด ณ ตอนนั้น แม้แต่เด็กประถมก็ดูออกว่าแม่ผมไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม่ถามกลับมาว่าทำไม ตามด้วยประโยคที่ว่าจะเป็นคนโดยสมบูรณ์ได้ต้องมีศาสนา เราทุกคนต้องมีศาสนา ผมย้อนถามกลับไปว่าการที่ผมไม่มีศาสนามันทำให้ความเป็นคนของผมลดน้อยลงตรงไหน แม่ตอบไม่ได้และเริ่มใช้อารมณ์ ส่วนผมพยายามใช้เหตุผลให้มากที่สุดเพื่อบอกแม่ให้ได้เข้าใจ ผมพูดต่อไปว่าต่อให้มีหรือไม่มีศาสนา ผมก็ยังเป็นผมคนเดิม คนที่พึงระลึกอยู่เสมอว่ามนุษย์ทุกเพศสภาพมีศักดิ์ศรีในความเป็นคนเท่าเทียมกัน คนที่ไม่ทิ้งขยะลงบนพื้นที่สาธารณะ คนที่เมาไม่ขับ ดูเหมือนผมจะเป็นคนดีนะ แต่เอาจริงๆผมก็ไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นออกจะเทาๆด้วยซ้ำ แต่ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้เป็นภาระสังคมน้อยที่สุด มันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ ผมทำเรื่องเหล่านี้โดยที่ไม่ต้องมีศาสนามาชี้แนะแม้แต่มิลลิเมตรเดียว เพราะทั้งหมดเกิดจากสามัญสำนึกของตัวผมเองล้วนๆ แม่ผมถามต่อว่าแล้วถ้าแม่ตายจะไม่จัดงานศพให้แม่ใช่ไหม ผมก็บอกว่าอันนี้มันไม่เกี่ยวกันเลยว่าผมจะนับถือศาสนารึเปล่า ถ้าวันนั้นมาถึงผมก็จะจัดการทุกอย่างตามที่แม่ต้องการหรือตามที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว ล่าสุดผมไปงานศพแล้วผมเดินไปไหว้ศพ รุ่นน้องถามผมว่าพี่ไม่ได้นับถือศาสนาแล้วไม่ใช่เหรอ ผมบอกมันไม่เกี่ยวกับศาสนาแล้วน้อง มันคือการทำความเคารพในฐานะที่มนุษย์คนนึงพึงกระทำกับมนุษย์ด้วยกันเอง หลังจากผมพูดจบแม่ก็เงียบ ผมก็เลยพูดต่อไปว่าถ้าอยากให้บวชจริงๆผมบวชให้ได้ แต่มันคงฝืนใจมากๆ แม่ตอบกลับมาอย่างฉุนเฉียวว่าไม่ต้อง พร้อมกับตัดบทสนทนาในเรื่องนี้ หลายๆคนที่อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะมีคำถามว่าทำไมไม่ยอมทำตัวตามน้ำไปเพื่อให้แม่สบายใจ ผมบอกตรงๆเลยว่าถ้าให้ทำจริงๆผมก็ทำได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ ทำไมผมต้องทำให้ทุกคนสบายใจแล้วตัวผมต้องมาทุกข์เองด้วย ผมแค่อยากให้คนในครอบครัวเปิดใจรับฟังและไม่มองผมเป็นตัวประหลาดเวลาผมพูดเรื่องนี้แค่นั้นเอง และอยากให้ทุกคนหลุดออกจากชุดความคิดเดิมๆว่ามันต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น ถ้านอกเหนือจากนั้นคือผิด ผมว่ามันไม่แฟร์สักเท่าไหร่ เราควรมีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินและแนวทางการใช้ชีวิตของตัวเองโดยไม่โดนกรอบทางสังคมมากีดกัน นั้นก็เพราะชีวิตเป็นของเราไม่ใช่เหรอ

ป.ล. หลังจากคุยกับแม่จบ แม่ไม่คุยกับผมไปสามวัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับมาปกติแล้วครับ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับ
ป.ล.2 ตั้งกระทู้ครั้งแรกถ้าอ่านแล้วไม่สบายตาติดขัดตรงไหนต้องขออภัยด้วยนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่